เที่ยวจอร์แดนไม่เหมือนใครสักครั้งในชีวิต

เที่ยวจอร์แดนไม่เหมือนใครสักครั้งในชีวิต

เที่ยวจอร์แดนไม่เหมือนใครสักครั้งในชีวิต

Blog Article



เที่ยวจอร์แดน สักครั้งในชีวิตอย่าเชื่อใครว่า "จอร์แดน" ไม่ควรมา ถ้าเรายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองหรือยังไม่ได้หาข้อมูล



หรืออีกหลายๆความเชื่อของภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ทำให้เรามองผ่านประเทศเล็กๆแห่งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะทุกๆอย่าง มันตรงข้าม กับสิ่งที่พวกเขาบอกทั้งสิ้น



ผมขออาสามาแก้ไขความเชื่อเหล่านี้ ให้เหล่าคนนอกอย่างเราได้รับรู้นะครับ ว่าประเทศนี้มันน่าเดินทางมาให้เห็นด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิตขนาดไหน!



กรุงอัมมาน (Amman)


กรุงอัมมาน (Amman) เมืองหลวงแห่งการคุมโทน ไม่มีอาคารใดๆที่สร้างแล้วมีรูปร่างหรือสีสรรที่แบ่งแยกจากเพื่อนเลย ปกติแล้วเกือบจะทุกคนที่บินมาลงจอร์แดนจะมาลงที่สนามบิน Queen Alia International Airport ครับ



สถานที่ท่องเที่ยวภายใน กรุงอัมมาน (Amman) จะกระจุกตัวอยู่ภายในเขตเมืองเก่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคือร่องรอยของอารยธรรมที่ตกค้างมาตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารยธรรมโรมัน ก่อนที่จะถูกวัฒนธรรมอาหรับในภายหลัง



โรงละครโรมัน (Roman Amphitheater)


กรุงอัมมาน (Amman) เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน โดยกรุงอัมมานมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปี โดยไฮไลท์ของการเที่ยวที่นี่คือการไปที่ป้อมปราการอัมมาน



ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน (Amman Citadel) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดสังเกตเหตุบ้าน การเมืองต่าง ๆรอบเมือง โดยมีฉากหลังเป็นโรงละครโรมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศและตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง อันแปลกตายิ่งนักที่สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 161–180 ในสมัยโรมัน จากบนป้อมปราการเราจะมองเห็นอีกสถานที่สำคัญได้ชัดเจนเป็นอย่างดี นั่นคือ



โรงละครโรมัน (Roman Theater) อีกไฮไลท์หนึ่งของเมืองอัมมานโรงละครที่มีความเก่าแก่สมัยโรมันตั้งอยู่ใจกลางเมืองอัมมาน มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานสร้างในศตวรรษที่ 2 ลักษณะเป็นอัฒจรรย์ครึ่งวงกลมที่สามารถจุคนได้ถึง 6,000 คน







เดินทางสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมโรมัน เริ่มต้นเที่ยวจอร์แดน




โรงละครทางทิศใต้ (Southern Theatre)


เดินทางขึ้นเหนือมายัง เมือง เจอราซ (Jerash) หรือ “เมืองพันเสา” เป็นอดีต 1 ใน 10
หัวเมืองเอกตะวันออกอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า ในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี สถานที่สำคัญของเมืองเจอราซ (Jerash) มีดังนี้



  • ซุ้มประตูกษัตริย์เฮเดรียน (Hadrian Gate)


  • สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม (Hippodrome)


  • โอวัลพลาซ่า (Oval Plaza) สถานที่ชุมนุม พบปะ สังสรรค์ของชาวเมือง


  • วิหารเทพซีอุส (Temple of Zeus)


  • โรงละครทางทิศใต้ (Southern Theatre)


  • วิหารเทพีอาร์เทมิส (Temple of Artemis) เป็นเทพีประจำเมืองเจอราช สร้างในราวปี ค.ศ. 150 สร้างขึ้นพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีบวงสรวง และบูชายัญต่อเทพีองค์นี้


  • น้ำพุใจกลางเมือง (Nymphaeum) สร้างเพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขา ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ มีที่พ่นน้ำเป็นรูปหัวสิงโตทั้งเจ็ด และตกแต่งด้วยเทพต่างๆ




เจอราซ (Jerash) หรือ “เมืองพันเสา”







Dead Sea highway ทางหลวงสายเดดซี



หลังจากนี้ได้เวลาเดินทางลงทางใต้ของกรุงอัมมาน สู่พื้นที่ๆต่ำที่สุดของโลกจากระดับน้ำทะเล หนึ่งในสถานที่ๆมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศจอร์แดน นั่นคือ "ทะเลเดดซี" (Dead Sea) โดยผ่านทางทางหลวงสายเดดซี หนึ่งในถนนที่มีความสวยงามสองข้างทางมากที่สุดเส้นหนึ่งของประเทศจอร์แดน (Dead Sea Highway)



Dead Sea highway ทางหลวงสายเดดซี


"ทะเลเดดซี" (Dead Sea) คือความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เพราะที่นี่คือจุดที่ต่ำที่สุดในโลก ด้วยความต่ำถึง ประมาณ 400 เมตร ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลครับ



"ทะเลเดดซี" (Dead Sea) เป็นส่วนหนึ่งของ จอร์แดนริฟต์วัลเลย์ (Jordan Rift Valley) ส่วนหนึ่งของรอยแยกแผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่ที่เริ่มตั้งแต่ประเทศจอร์แดนไปจนถึงภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ทะเลสาบเดดซียังเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นประเทศอิสราเอลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม



ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea)


ทำไม "ทะเลเดดซี" (Dead Sea) ถึงทำให้เราลอยตัวได้



  • เพราะความเข้มข้นของเกลือในทะเลสาบเดดซีนั้นสูงมากๆๆๆ


  • ทุกคนจะสามารถลอยตัวได้ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องตีขา


  • สาเหตุของความเค็ม ส่วนหนึ่งมาจาก การที่น้ำค่อยๆระเหยไปเรื่อย ในขณะที่ปริมาณเกลือมีเท่าเดิม


  • ในอนาคต ทะเลสาบเดดซี อาจจะกลายเป็นบึง และสุดท้ายก็แห้งไปครับ




การไปนอนลอยตัวอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมยอดฮิตของการไปทะเลสาบเดดซี






ปราสาทนักรบครูเสด (Crusader Castle)




ประเทศจอร์แดน เป็นหนึ่งในเขตอิทธิพลของคริสต์ศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนที่พื้นนี้จะเข้าสู่ช่วงของพื้นช่วงชิงอำนาจของโลกตะวันตกและโลกตะวันออก หรือระหว่างสองศาสนาคริสต์และอิสลามนั่นเอง ด้วยเขตพื้นที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเยรูซาเลม นครศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคู่กรณี ทำให้ที่นี่มีปราสาทของนักรบครูเสดตั้งอยู่มากมาย แต่ปัจจุบันมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พอที่จะได้เราเข้าไปเที่ยวได้ โดยปราสาทหลักๆ ที่แนะนำมี 2 แห่งคือ



ปราสาทเครัก (Kerak) หนึ่งในปราสาทของอัศวินครูเสด หนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุด ทางฝั่งตะวันออกของนครเยรูซาเลม ถ้าท่านใดที่เคยดูหนังเรื่อง The Kingdom of Heaven เราจะเจอปราสาทนี้ ว่าเป็นที่อยู่ของผู้ปกครองผู้บ้าระห่ำนามว่า Raynald of Châtillon ปราสาทนี้ เป็นสถานที่ๆไม่ควรพลาด สำหรับสายประวัติศาสตร์ครับ



ปราสาทโชบาค (Shobak) ในแนวป้องกันฝั่งตะวันออกของนครเยรูซาเลมในช่วงยุคกลางปราสาท Kerak คือจุดศูนย์กลางแนวป้องกัน และมีปราสาท Shobak อีกแห่งที่ถัดลงมาทางใต้ครับ ความสมบูรณ์ของปราสาทนี้จะน้อยกว่าแห่งบน แต่ได้อารมณ์มากกว่าเพราะใกล้เคียงของเดิมครับ



จากแนวของปราสาทนักรบครูเสด เมื่อถัดลงมาด้านใต้อีกไม่กี่กิโลเมตร เราจะเดินทางเข้าสู่อดีตที่อยู่อาศัยของ ชาวนาบาเทียน (Nabatean) ผู้ครอง อาณาจักรนาบาเทียน (Nabatean Empire)



และชนเผ่านาบาเทียน นี่เอง ที่เป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ชื่อก้องโลกในปัจจุบัน ที่นั่นคือ "เพตรา" นั่นเองครับ



ปราสาทโชบาค (Shobak)






"เพตรา" (Petra) นครนาบาเทียนที่หลบซ่อนตัวอยู่




เราจะเห็นเลยว่า ทำไม เพตรา ถึงหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้หลายพันปีจนกระทั่งในปี ค.ศ.1812 นาย Johann Ludwig Burckhardt นักเดินทางชาวนอร์เวย์ ถึงได้ค้นพบและประกาศสู่โลกภายนอก ที่เห็นเป็นเส้นหุบเหวสีดำ เบื้องล่างคือ The Siq (Al-siq) ทางเดินหลักสู่นครเพตรา



The Siq (Al-siq) ทางเดินหลักสู่นครเพตรา ครับ


ในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนที่ภาพติดตาของคนทั่วโลกจะปรากฎต่อหน้าเราที่นี่คือ "The Treasury" แห่งนครเพตรา



"The Treasury"


เพตรา (Petra) เป็นเมืองที่ชาวนาบาเทียนสร้างเอาไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนศริสตกาลหลายร้อยปี เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายด้วยชัยภูมิที่ดีที่อยู่ระหว่างสองอารยธรรมที่สำคัญ คือ ฝั่งแม่น้ำไนล์ทางทิศตะวันตก และ แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ทางทิศตะวันออก จึงได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ



ภายหลังการเกิดขึ้นของอาณาจักรโรมัน นครเพตราจึงได้ถูกควบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ก่อนที่จะค่อยๆเสื่อมสภาพลงกลายเป็นเพียงนครที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เบื้องหลัง จากการที่ชัยภูมิการค้าเปลี่ยนไปทางอยู่บนทะเล



The Treasury ภาพติดตาของคนทั่วโลก ที่ทำให้เพตรากลายเป็น New 7 wonders of the world

The Monastery ที่สุดของอารยธรรมเพตรา




สถานที่ๆต้องมา ที่นับว่าจริงๆ อาจจะสวยกว่า The Treasury เสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่หลายคนอาจจะถอดใจมาไม่ถึง เพราะถ้าจะเดินมาด้วยขาของตนเองนั้นอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ผ่านบันไดหลายขั้นหลายกิโลเมตร การใช้การขี่ลามาทั้งไปและกลับจะช่วยประหยัดเวลาเดินทางได้มากพอสมควรครับ



The Monastery หรือชื่อภาษาท้องถิ่นว่า "Ad-deir" แรกเริ่มเดิมทีสร้างมาในลักษณะเดียวกันกับ The Treasury ทั้งในแง่ของขนาดและสถาปัตยกรรม ถูกใช้ในครั้งแรกเพื่อเป็นที่เก็บร่างกายคนตายหรือสุสานนั่นเอง หลังจากที่อาณาจักรโรมันตะวันออกมามีอิทธิพลเหนือเพตรา ที่นี่เลยเลยถูกปรับโดยเชื่อกันว่าเป็นโบสถ์ทางคริสต์ศาสนาครับ



The Monastery หรือชื่อภาษาท้องถิ่นว่า "Ad-deir"


"เพตรา ยามค่ำคืน" (Petra By Night) ในทุกๆวันจันทร์ อังคาร และ พฤหัสบดี ของทุกสัปดาห์จะมีกิจกรรมสุดพิเศษที่เรียกว่า การท่องนครเพตราในยามค่ำคืน ท่านจะได้รับการขับกล่อมเพลงโดยเครื่องดนตรีท้องถิ่นสลับไปกับการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของนครเพตราในยุคสมัยชนเผ่านาบาเทียนโดยคนเฒ่าคนแก่ของที่นี่ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งเปลวเทียนที่อยู่รอบตัว เบื้องหน้าต่อ The Treasury สถานที่สำคัญที่สุดของนครเพรา



นครเพตราในยามค่ำคืน






มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายสีแดงแห่งวาดีรัม




หลังจากนั้นเดินทางสู่ ถนน Desert highway ทางหลวงเส้นหลังของประเทศจอร์แดน มุ่งหน้าสู่เมือง ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi rum)



โดยทะเลทรายวาดิรัมเป็นทะเลทรายที่สวยงามแปลกตากว่าทะเลทรายแห่งอื่นๆตรงที่ทรายเป็นสีชมพูแดง และมีโขดหินขนาดใหญ่รายล้อมอยู่เรื่อยๆ บรรยากาศได้รับการขนานนามว่าที่นี่คือ ดาวอังคารที่ตั้งอยู่บนโลก ทะเลทรายแห่งนี้ในอดีตเป็นเส้นทางคาราวานจากประเทศซาอุฯเดินทางไปยังประเทศซีเรียและปาเสลไตน์ (เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนาบาเทียนก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานไปสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เมืองเพตรา)



ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) มาเป็นที่รู้จักใน สงครามอาหรับรีโวลท์ (Arab Revolt) ระหว่างปีค.ศ. 1914 – 1918 ซึ่งเป็นสมรภูมิระหว่างกองทัพของเจ้าชายไฟซาลผู้นำของชาวอาหรับ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรนำโดย  นายทหารชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ที อี ลอว์เรนซ์ (T.E.Lawrence) เพื่อร่วมกันขับไล่พวกออตโตมาน (Ottoman Empire) ที่เข้ามารุกรานเพื่อครอบครองดินแดน



หลังจากนั้น ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) แห่งนี้ได้มาโด่งดังในโลกภาพยนต์ เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่จริงในการถ่ายทำภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะ ภาพยนตร์เรื่อง “Lawrence of Arabia” ในปี ค.ศ.1963 ซึ่งสามารถกวาดรางวัลออสการ์ได้ถึง 7 รางวัล รวมถึงภายยนตร์ชื่อดังอื่น ๆ อีก เช่น Transformers 2: Revenge of the Fallen (ฉากที่ใช้สื่อว่าเป็นประเทศอียิปต์) หรือ The Martian ที่สมมติเนื้อเรื่องทั้งหมดว่าคือดาวอังคาร
บ่าย



ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum)


โดยสถานที่สำคัญในทะเลทรายวาดิรัม มีดังนี้



  • Lawrence's house จุดที่เชื่อว่าเป็นที่พักอาศัยของ ทีอี ลอว์เรนซ์


  • Lawrence’s Spring เป็นจุดที่ใช้เป็นที่บัญชาการทัพของ ทีอี ลอว์เรนซ์


  • ร่วมกับเจ้าชายไฟซาล


  • Seven Pillars of Wisdom ภูเขาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกๆคนต้องเห็น


  • Umm Fruth Rock Bridge สะพานหินชื่อดัง


  • The Martian สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Martian


  • Red Sand Dunes เนินทรายสีแดงอันยิ่งใหญ่ของวาดีรัม


  • The Anfashieh Inscriptions




The Martian สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Martian


Seven Pillars of Wisdom ภูเขาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกๆคนต้องเห็น


วินาทีสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่วาดีรัม

นอนแบบดาวอังคารที่ The Martian Dome




หนึ่งในสถานที่พักที่ผมเลือกมาโดยเฉพาะเลย คือที่นี่ครับ "The Martian dome at Sun City" สรรพคุณคือ สร้างบรรยากาศการพักแบบดาวอังคารให้เรา แค่นี้ก็เพียงพอจะพาผมจากเมืองไทยมาถึงจอร์แดนแล้ว



เที่ยวอย่างไรให้เหมือนไปดาวอังคาร ต้องมาที่นี่


"The Martian dome at Sun City"







สุดท้ายนี้สำหรับประเทศเล็กๆท่ามกลางภูมิภาคแห่งความขัดแย้งแห่งนี้ จอร์แดนเป็นอะไรที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านรอบข้างอย่างมาก ทั้งในแง่ของความปลอดภัยที่ถือว่าสูงมาก การเดินทางที่สะดวกสบาย ผู้คนที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว โรงแรมที่พักที่ได้มาตรฐานระดับโลก และ สุดท้ายที่สำคัญที่สุด คงไม่พ้น สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งที่ต้องบอกเลยว่า สวยเทพทุกที่ทีเดียวครับ



 

Report this page